สกุลเงินของประเทศเมียนมา คือ จัต (Kyat) หรือ MMK อัตราแลกเปลี่ยนประมาณ 33 จัตต่อ 1 บาท (ปัจจุบันสามารถแลกเงิน จัต จากร้านรับแลกเงินรายใหญ่ ๆ ในประเทศไทยได้แล้ว) ธนบัตรของเมียนมาจะมีสภาพเก่า และชำรุดทรุดโทรมมาก เวลาในประเทศเมียนมา ช้ากว่าประเทศไทย 30 นาที (GMT +6.5) รถยนต์ในเมียนมาจะเป็นพวงมาลัยขวา และขับรถชิดขวา ปัจจุบันประชาชนชาวไทยที่ถือหนังสือเดินทางธรรมดา และเดินทางเข้าประเทศเมียนมา ผ่านทางท่าอากาศยานนานาชาติ 3 แห่ง ได้แก่ ท่าอากาศยานนานาชาติกรุงเนปิดอว์ ย่างกุ้ง และมัณฑะเลย์ จะได้รับยกเว้นการตรวจลงตรา รวมถึงสามารถพำนักอยู่ในพม่าได้เป็นเวลาไม่เกิน 14 วัน ในเมืองย่างกุ้งมีรถโดยสารประจำทาง (เป็นตัวเลขแบบพม่า) รถ Taxi (จะมีทั้งแบบเปิดแอร์ และแบบเปิดกระจก โดยจะไม่มี meter ต้องใช้การตกลงราคากันเอง) รถไฟ (เป็นวงกลมรอบเมือง) โรงแรมในเมืองย่างกุ้งมักจะมีราคาแพงกว่าเมืองอื่น ๆ ในประเทศข้างเคียง ชาวพม่าส่วนใหญ่พูดภาษาอังกฤษได้ สถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ เช่น วัด เจดีย์ ชาวต่างชาติจะต้องเสียค่าเข้าชม
เจดีย์เยเลพญา (Yele Paya pagoda)
เจดีย์เยเลพญา หรือ เจดีย์กลางน้ำ สร้างในสมัยที่มอญเรืองอำนาจ เมื่อราวพันกว่าปีก่อน โดยมีคหบดีชาวมอญเป็นผู้สร้างและยังได้ตั้งจิตอธิษฐานว่า ถ้าน้ำท่วมก็ขออย่าให้ท่วมองค์พระเจดีย์ ถ้ามีผู้คนมากราบไหว้จำนวนมากเท่าไหร่ก็ขอให้ไม่มีวันเต็มล้นพื้นที่ เพราะเจดีย์แห่งนี้สร้างบนเกาะมีสภาพเป็นเพียงเกาะเล็ก ๆ กลางแม่น้ำกว้างใหญ่เท่านั้น และเจดีย์แห่งนี้ขึ้นชื่อในเรื่อง ไหว้พระขอพรทำธุระกิจทางการค้า
เจดีย์นี้ตั้งอยู่ที่เมืองสิเรียม (Thanlyin, Syriam) อยู่ห่างจากนครย่างกุ้งประมาณ 25 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ 45 นาที สภาพของถนนไม่ค่อยดีเท่าไร แต่ก็ยังมีด่านเก็บค่าผ่านทางด้วย สิเรียมเป็นเมืองเล็ก ๆ บริเวณจุดบรรจบของแม่น้ำหงสาและแม่น้ำย่างกุ้ง ซึ่งในอดีตเมืองนี้เป็นเมืองท่าสำคัญในการเดินเรือของชาวโปรตุเกส ปัจจุบันเมืองสิเรียมเป็นเมืองอุตสาหกรรม การเข้าชมเจดีย์กลางน้ำนี้จะต้องเหมาเรือข้ามไปยังเจดีย์ ลำละ MMK 5,000 (รวมไป-กลับ)
เจดีย์โบตาทาวน์ (Botahtaung pagoda), เทพทันใจ หรือ นัตโบโบยี, เทพกระชิบ
เจดีย์โบตาทาวน์ เป็นสถานที่เก็บบรรจุพระเกศาธาตุของพระพุทธเจ้าจำนวน 1 เส้น เจดีย์มีความสูงราว 40 เมตร ภายในตัวเจดีย์มีของเก่า ของโบราณเพียบที่ทำจากทองคำแท้ ๆ ตามประวัติเเล้วสร้างขึ้นก่อนพระมหาเจดีย์ชเวดากอง เเต่โดนระเบิดทำลายในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ดังนั้นเจดีย์ที่เราเห็นกันอยู่ทุกวันนี้เป็นการบูรณะขึ้นมาใหม่โดยรักษาเเบบเดิมไว้ทุกประการ
หลังจากที่มีการบูรณะ Botahtaung Pagoda เเล้วก็ได้มีการทำอุโมงค์ลอดเข้าไปใต้พระเจดีย์เพื่อให้ชาวพุทธทั้งหลายได้เข้าไปนมัสการพระเกศาธาตุเเละพระเขี้ยวเเก้วได้อย่างใกล้ชิด โดยพระเขี้ยวแก้ว ถูกเก็บรักษาไว้ในตู้กระจก อยู่ใกล้ ๆ กับวิหารพระทองคำ และด้านซ้ายมื้อจะมีรูปปั้น นัตโบโบจี หรือ เทพทันใจ ซึ่งชาวมอญและพม่านิยมมากราบไหว้บูชา โดยเชื่อกันมีความศักดิ์สิทธิ์ สามารถดลบันดาลพรที่ขอได้เเบบทันใจ เเละชื่อเสียงนี้ก็ขจรขจายมายังในหมู่นักท่องเที่ยวชาวไทยอย่างเลี่ยงไม่ได้ จึงพบนักท่องเที่ยวชาวไทยจำนวนมากที่นี่ การบูชาเทพทันใจ นิยมใช้มะพร้าว กล้วยนากสีแดง เป็นเครื่องบูชา เพราะเชื่อว่าเป็นผลไม้มงคล และเป็นสัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์เจริญงอกงามของชีวิต บางครั้งก็จะประกอบด้วยช่อใบไม้ที่เรียกว่า ใบชัยชนะ และฉัตร ตุงหรือธงกระดาษขนาดเล็ก ซึ่งก็เป็นสัญลักษณ์ของความเป็นมงคลเช่นกัน ส่วนการอธิษฐานขอพรต่อเทพทันใจ มีเคล็ดลับว่าต้องขอเพียงข้อเดียวเท่านั้น นัยว่าเพื่อพลังกล้าแข็งในการถวายเครื่องเซ่น หลังจากนั้น ให้ถวายธนบัตรเสียบไว้ที่มือของท่าน ซึ่งอยู่ในกิริยายืนชี้นิ้วไปข้างหน้า อยากจะถวายเท่าใดก็แล้วแต่ศรัทธา แต่ต้องให้มีจำนวนธนบัตรมากกว่า ๑ ฉบับ หลังจากนั้นก็เข้าไปยืนให้หน้าผากของเราติดกับนิ้วมือของท่าน แล้วจึงตั้งจิตอธิษฐานอีกครั้ง เพียงข้อเดียวเท่านั้น ห้ามเปลี่ยนใจ เสร็จแล้วจึงนำธนบัตรที่ถวายไว้คืนกลับมา ๑ ฉบับ เพื่อเอากลับไปเป็นเงินขวัญถุงให้มีโชคมีลาภต่อไป
ฝั่งตรงข้ามหน้าวัดโบตาทาวน์มี “อะมาดอว์เมียะ” หรือที่คนไทยรู้จักกันในนามว่า “เทพกระซิบ” ตามตำนานกล่าวว่านางเป็นธิดาของพญานาค ที่เกิดศรัทธาในพุทธศาสนาอย่างแรงกล้า รักษาศีล ไม่ยอมกินเนื้อสัตว์จนเมื่อสิ้นชีวิตไปกลายเป็นนัต
พระมหาธาตุเจดีย์ชเวดากอง (Shwedagon Pagoda)
พระมหาธาตุเจดีย์ชเวดากอง ตั้งอยู่บริเวณเนินเขาเชียงกุตระ เป็นมหาเจดีย์ที่บรรจุพระเกศาธาตุของพระพุทธเจ้า รวม 8 เส้น บนยอดสุดของพระเจดีย์ มีเพชรอยู่ 5,448 เม็ด ชั้นข้างบนสุดมีเพชรเม็ดใหญ่อยู่ 76 กะรัต และทับทิม 2,317 เม็ด มีมรกตเม็ดใหญ่อยู่ตรงกลาง ตัวของเจดีย์ถูกปิดทับด้วยแผ่นทองคำจำนวน 8,688 แผ่น ทำให้เมื่อโดนแสงแดดและแสงพระจันทร์ เจดีย์แห่งนี้จะเกิดเป็นสีทองอร่ามงดงามโดดเด่นในแผ่นดินพม่า นอกจากเจดีย์บริวารแล้ว รอบนอกยังมีศาลา วิหาร ขององค์พระต่าง ๆ อีกมากมาย มีประวัติตำนานเก่าแก่กว่า 2,000 ปี ตั้งแต่ครั้งที่ย่างกุ้งยังเป็นดินแดนของมอญมีชื่อเดิมว่า “ดากอง” หรือ “ตะเกิง” ก่อนจะถูกพม่ายึดครองไป แล้วเปลี่ยนชื่อเป็น “ย่างกุ้ง” “ชเวดากอง” แปลว่า “เจดีย์ทองแห่งเมืองดากอง” มหาเจดีย์แห่งนี้มีการบูรณปฏิสังขรณ์มาด้วยกันหลายครั้ง โดยเฉพาะมีโบราณราชประเพณีที่กษัตริย์ของมอญและพม่าที่จะขึ้นครองราชย์บัลลังก์ จะต้องถวายทองคำหนักเท่ากับน้ำหนักของพระองค์เอง เพื่อนำมาห้อหุ้มองค์พระเจดีย์ ซึ่งถือกันว่าเป็นศูนย์กลางแห่งจิตวิญญาณของชาวพุทธ แห่งลุ่มน้ำอิระวดีที่สำคัญที่สุดมาจนถึงปัจจุบัน
ควรมาไหว้พระพุทธเจ้าตรงวิหารทิศใดทิศหนึ่ง สวดมนต์ภาวนา ไห้พระประจำวันเกิดทั้ง 8 ทิศ สรงน้ำพระประจำวันเกิดเท่ากับอายุและบวกหนึ่ง เดินตามเข็มนาฬิกาตั้งจิตอธิษฐาน 1 รอบ ถวายปัจจัยเพื่อบำรุงวัดและอย่าลืมตีระฆังที่รอบ ๆ เจดีย์ให้กังวาลไปทั่วเพื่อบอกเทวดาบนสรวงสวรรค์ แนะนำให้มาตอนเย็น ๆ แดดร่ม ๆ หรือเช้าตรู่ เนื่องจากพื้นที่เดินทำจากหินอ่อน ดูดความร้อนได้เป็นอย่างดี ตอนกลางวันร้อนแทบจะเดินไม่ได้ และที่สำคัญตัวพระธาตุสะท้อนกับแสงแดด ทำให้แสบตา และมองไม่เห็นอะไร
Yangon Downtown
คำว่า ย่างกุ้ง หรือ หยั่นกง ในภาษาพม่า แปลว่า ปราบศัตรูจนราบคาบ เดิมทีแล้วย่างกุ้งชื่อว่า ดากอง (Dagon) ตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำย่างกุ้ง เป็นชุนชนเก่าแก่มีอายุมากว่า 2,500 ปี ย่างกุ้งเคยเป็นเมืองหลวงมาก่อน แต่ปัจจุบันรัฐบาลเมียนมาได้สร้างเมืองหลวงใหม่ชื่อว่าเนปิดอว์ (Naypyidaw) ซึ่งอยู่ห่างจากเมืองย่างกุ้งไปทางเหนือประมาณ 360 กิโลเมตร เพราะได้เปรียบทางยุทธศาสตร์ รายล้อมไปด้วยภูเขา เวลาข้าศึกจะประชิดทีนึงต้องผ่านภูเขาหลายลูก แต่ถ้าเป็นเมืองย่างกุ้งข้าศึกแค่เอาเรือจอดที่ฝั่งทะเล ก็สามารถประชิดเข้าเมืองย่างกุ้งได้โดยง่าย
China Town
ย่านคนจีนที่นี่มีของกินเยอะมาก เช่น ขนม เม็ดมะม่วงหิมพานต์ ทาร์ตไข่ ทุเรียน คนพลุกพล่าน แน่นอนว่าไชน่าทาวน์จะต้องมีแทบทุกเมืองที่สำคัญของโลก ย่างกุ้งก็เช่นเดียวกัน ที่มีประชากรคนจีนมากพอที่จะตั้งไชน่าทาวน์ขึ้นมา และมันคือแหล่งท่องกลางคืนของคนที่ไม่ยอมหลับยอมนอน มีทั้งร้านอาหาร สถานบันเทิง โรงแรม ที่พัก ถ้าใครหากทานอาหารจีนสไตล์พม่าก็อย่าพลาดการมาเยือนไชน่าทาวน์เด็ดขาด
เจดีย์สุเล (Sule Pagoda)
เจดีย์สุเล เป็นอีกหนึ่งเจดีย์ที่มีความงดงามไม่แพ้ที่ต่าง ๆ ในนครย่างกุ้ง ตั้งอยู่ใจกลางเมือง ย่านเศรษฐกิจที่สำคัญ มีอายุมากกว่า 2,000 ปี มีลักษณะรูปทรงแปดเหลี่ยม สีเหลืองทองสง่า มีความเชื่อว่าเป็นที่ประดิษฐานพระเกศาของพระพุทธเจ้า สมัยที่อังกฤษปกครองพม่า ได้มีการพัฒนาเมืองโดยใช้พระเจดีย์สุเลเป็นจุดศูนย์กลางในการสร้างถนนออกไปยังจุดต่าง ๆ ทั่วเมืองย่างกุ้ง โดยชาวพม่าถือว่าพระเจดีย์แห่งนี้เป็นพระเจดีย์ทองอันเป็นศูนย์กลางของทุกสิ่ง และตั้งอยู่ใกล้กับสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญอย่างสวนสาธารณะมหาบัณฑุละ (Maha Bandoola Park) และศาลาว่าการย่างกุ้ง อีกด้วย
ศาลาว่าการย่างกุ้ง (Yangon city hall)
เมื่ออังกฤษยึดครองพม่า อาคารตะวันตกและสถาปัตยกรรมต่าง ๆ จึงแพร่หลายในพม่า โดยเฉพาะย่างกุ้ง เพราะถึงแม้ว่าตอนนี้ประเทศเมียนมาจะไม่ได้เป็นอาณานิคมของประเทศอังกฤษแล้ว สิ่งปลูกสร้าง อาคาร ตึกยังคงความงดงามน่าชมยิ่งนัก
สวนสาธารณะมหาบัณฑุละ (Maha Bandoola Park)
อนุสาวรีย์ตรงกลางที่เห็นในรูปข้างบนนั้น สมัยก่อนเสาแท่งใหญ่ ๆ เคยเป็นรูปปั้นของพระราชินีวิกตอเรียของประเทศอังกฤษ แต่หลังจากที่เมียนมาได้รับเอกราชจากอังกฤษ รัฐบาลเมียนมาและประชาชนพม่าก็โค่นรูปปั้นเดิมทิ้งแล้วใส่เสาแท่ง ๆ ใหญ่นี้ลงไปแทน โดยมีการจารึก สลักข้อความ เนื้อหาเกี่ยวกับประชาธิปไตยของเมียนมาและการได้รับอาณานิคมคืนมาจากอังกฤษในภาษาพม่า สวนสาธารณะนี้เคยถูกปิดมาถึง 20 ปี หญ้าขึ้น รกลุงลังไปหมด ไม่สวยและดูไม่ได้เลย รัฐบาลเพิ่งจะมาพัฒนาและเปิดให้ผู้คนเข้ามาเที่ยวชม เดินเล่น เมื่อไม่นานมานี้เอง
อาคารแดง (Minister office) ศาลสูง
วัดแขก
Bogyoke Aung San market หรือ Scott market (ตลาดสก๊อต)
เป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดของพม่า ตั้งอยู่ใกล้กับย่านอินเดียและย่านจีน เดิมชื่อว่าตลาดสก๊อต (Scott market) เพราะสร้างโดยมิสเตอร์เจมส์ จอร์จ สก๊อต (James George Scott) เมื่อปี ค.ศ. 1962 สมัยที่เมียนมาเป็นอาณานิคมของประเทศอังกฤษ แต่หลังจากพ้นจากอาณานิคมก็เปลี่ยนชื่อเป็น โบโจ๊ก อองซาน โดยนายพลอองซาน ตลาดนี้มีร้านค้าประมาณหนึ่งพันหกร้อยกว่าร้าน มีสินค้ามากมายหลายประเภท ได้แก่ ไม้สัก อัญมณี ภาพเขียน เครื่องเงิน เสื้อผ้า โสร่ง ผ้าซิ่น เป็นต้น
ภายในอาคารสีแดง คือ แหล่งเลือกซื้อเลือกหาอาหาร ของสด ผลไม้ ผักนานาชนิด ที่ได้รับความนิยมจากชาวย่างกุ้งและนักท่องเที่ยวมากที่สุด เริ่มสร้างขึ้นในปี 1926 เป็นตลาดสดที่มีมากกว่าอาหารการกิน ถ้าต้องการเลือกซื้อ งานหัตถกรรม เสื้อผ้า เครื่องเพชรพลอย สินค้าแฟชั่นและสินค้าอุปโภคบริโภค เพื่อเป็นของฝาก ก็สามารถเดินเลือกซื้อได้ที่นี่เช่นกัน
นอกจากตลาดแล้ว ด้านข้างยังมีห้าง Parkson และ supermarket ที่ชั้นใต้ดินอีกด้วย
ตลาดแห่งนี้เปิดบริการทุกวัน ยกเว้นวันจันทร์ เวลา 9:00 – 17:00 น
Saint Mary's Cathedral
ตรงหัวมุมติดกับตลาดสก็อตเราเดินไปอีกหน่อย จะพบโบสถ์คริสต์นิกายแองกลี มีข้อมูลบอกว่าเป็นสถาปัตยกรรมแบบโคโลเนียลที่เก่าแก่ที่สุดในย่างกุ้งเลยนะ ตอนเราเข้าไปกัน5คนก็มี5คนเหมือนเดิมนั่นแหละมันค่อนข้างเงียบเพราะมีโบสถ์อื่นถูกสร้างขึ้นมาสวยงามอีกเยอะ ไม่แปลกที่จะได้เห็นสถาปัตยกรรมในย่างกุ้งแบบยุโรปอีกด้วย ตอนอังกฤษครองพม่ายังบอกอีกว่าเป็นโบสถ์ที่สวยที่สุดมีจัดอันดับให้อีกต่างหาก เข้าไปข้างในที่เขาบอกว่าใหญ่มาก เอ่อมันใหญ่จริงๆนะ ออกแบบโดยสถาปนิกชาวดัชท์ สร้างเสร็จเมื่อปี ค.ศ.1899 เคยได้รับความเสียหายจากแผ่นดินไหวและสงครามโลกครั้งที่2 แต่เสียหายไม่มากนะ สถาปัตยกรรมด้านนอกเป็นอิฐแดง ส่วนด้านในสูงโล่งโอ่โถงอลังการงานสร้างมากๆ หน้าต่างประดับกระจกสี ถ่ายรูปซักหน่อยแบบว่าเราภูมิใจ ชอบแบบนี้น่ะ
พระนอนตาหวาน (Chaukhtatgyi Reclining Buddha)
เจาทัตยี หรือที่ชาวบ้านและคนทั่วไปเรียกว่า พระตาหวาน คือ พระพุทธไสยาสน์เจาทัตยี (Chauk Htat Gyi Reclining Buddha) ด้วยมีดวงตาที่งดงามและขนตางอนยาว ตากว้าง 5 ฟุต ขนตายาว 1 ศอก บริเวณพระพักตร์ จีวร ตลอดจนปลายสุดของพระบาทมีการตกแต่งด้วยเครื่องประดับที่สวยงามและวิจิตรบรรจง เป็นพระพุทธรูปปางไสยาสน์ สูงประมาณตึก 6 ชั้น และมีความยาวมากกว่า 70 เมตร จึงกลายเป็นพระนอนที่ใหญ่และสวยงามที่สุดในประเทศเมียนมา
พระเจ้างาทัตยี (Nga Htat Gyi Pagoda)
องค์พระเจ้างาทัตยี คำว่า งาทัตยี แปลว่า สูงเท่าตึก 5 ชั้น นั่นจึงเป็นที่มาที่รูปหล่อหลวงพ่อองค์นี้ยิ่งใหญ่เท่ากับตึก 5 ชั้น (14 เมตร) สร้างโดยเจ้าชาย Minyedeippa ในปี ค.ศ. 1558 แกะสลักจากหินอ่อนขนาดใหญ่ ประดับด้วยเครื่องประดับที่ทำมาจากโลหะสีทองลวดลายละเอียดงดงาม และอัญมณีหลากหลายประเภท มีฉากด้านหลังเป็นไม้สักแกะสลักลวดลายอย่างวิจิตร ปราณีต และบรรจง เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ตั้งอยู่ภายในอาคารโครงเหล็ก ในวัดงาทัตยี
พระมหาเจดีย์กาบาเอ (Kaba Aye Pagoda)
พระมหาเจดีย์กาบาเอ หรือ เจดีย์สันติภาพ เป็นเจดีย์ทรงกลมรูปทรงแปลกตา แต่ทว่ามีความงดงามไม่เหมือนใคร ตั้งอยู่ทางด้านทิศเหนือของนครย่างกุ้ง บนถนนกาบาเอ สร้างขึ้นในปี 1952 โดยนายกฯ อุนุ เพื่อใช้เป็นสถานที่ชำระพระไตรปิฏก ครั้งที่ 6 เพื่อมุ่งหวังให้เกิดสันติภาพในโลก มีความสูงและกว้าง 34 เมตร ด้านในมีพระพุทธรูปองค์พระประธานหล่อด้วยเงินบริสุทธิ์หนัก กว่า 500 กิโลกรัม และพระพุทธรูปรายล้อมรอบ ๆ ส่วนด้านบนเป็นที่ประดิษฐานของพระพุทธรูปองค์เล็กจำนวน 28 องค์ ซึ่งเท่ากับจำนวนสาวกของพระพุทธเจ้า
วัดพระหินอ่อน (Lawka Chantha Abaya)
วัดพระหินขาว หรือที่มีชื่อเรียกอย่างทางการว่า “Lawka Chantha Abaya Labamuni Buddha Image” พระที่สลักจากหินขาวมันวาวไร้ตำหนิเพียงก้อนเดียวจากช่างฝีมือเมืองมัณฑะเลย์ สูง 37 ฟุต กว้าง 24 ฟุต หนัก 600 ตัน ประทับนั่งหันพระหัตถ์ออกจากพระองค์ ซึ่งหมายถึงการไล่ศรัตรูและประทานความเจริญรุ่งเรือง พระหัตถ์ขวาบรรจุพระบรมสารีริกธาตุที่มาจากสิงคโปร์และศรีลังกา
บันทึกการเดินทางอื่น ๆ
- Singapore In One Day: วันเดียวเที่ยวทั้งประเทศสิงคโปร์
- This is Macau! - A blend of Europe, China, and Las Vegas
- ไปเดี่ยว เที่ยวฟิน บินฟรี ที่โฮจิมินห์ ซิตี้ ประเทศเวียดนาม
- Kuala Lumpur & ปุตราจายา (มาเลเซีย ที่นี่เอเชีย)
- บินลัดฟ้าสู่นครย่างกุ้ง ประเทศเมียนมา (พม่า)
- ตะลุยเที่ยวเมืองจีน ที่เซินเจิ้น The spirit of Shenzhen
- all things to do in HONG KONG หลายสิ่ง หลายอย่าง ใน ฮ่องกง
- สะบายดีนครหลวงเวียงจันทน์ (ນະຄອນຫລວງວຽງຈັນ) สปป.ลาว
- Unseen in Singapore เที่ยวที่แปลก ๆ ในสิงคโปร์
- ชมความงดงามของท้องทะเลที่เกาะสมุย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น